นายกสมาคมนักข่าวฯ หารือเลขาธิการศาลยุติธรรม เรื่องความร่วมมือกรณีใช้ตัวบุคคลเป็นหลักทรัพย์ประกันตนเมื่อสื่อถูกดำเนินคดี

 

นายกสมาคมนักข่าวฯ หารือเลขาธิการศาลยุติธรรม เรื่องความร่วมมือกรณีใช้ตัวบุคคลเป็นหลักทรัพย์ประกันตนเมื่อสื่อถูกดำเนินคดี

ที่สำนักงานศาลยุติธรรม เมื่อเร็วๆ นี้ นายวันชัย วงศ์มีชัย นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นายปราเมศ เหล็กเพ็ชร์ อุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวฯ นายชนะ ผาสุกสกุล กรรมการสมาคมนักข่าวฯ และนายเชษฐ์ สุขสมเกษม ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายสมาคมนักข่าวฯ ได้เข้าหารือกับนายอธิคม อินทุภูมิ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และนายสืบพงศ์ ศรีพงษ์กุล โฆษกศาลยุติธรรม เพื่อสอบถามถึงความร่วมมือระหว่างศาลกับองค์กรสื่อ กรณีใช้ตัวบุคคลเป็นหลักทรัพย์สำหรับประกอบการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวเมื่อถูกดำเนินคดี และถูกนำตัวมาฝากขัง หรือขอปล่อยตัวในชั้นพิจารณาในคดีหมิ่นประมาท ตามกฎหมายอาญาและพระราชบัญญัตติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่มีโทษทางอาญา ที่สภาการหนังสือพิมพ์ และสมาคมนักข่าวฯ ซึ่งมีหน้าที่ช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุน และขจัดข้ออุปสรรคที่จะเกิดแก่สื่อฯ ในการเสนอข้อเท็จจริงไปสู่ประชาชน ว่าในทางปฎิบัติยังมีการใช้บุคคลแทนหลักทรัพย์ประกันตนเองได้หรือไม่

ซึ่งนายอธิคม กล่าวว่า ได้ตรวจสอบแล้ว หลักการดังกล่าวยังสามารถใช้ได้ โดยให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยทำคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว พร้อมแนบคำร้องที่จัดทำโดยสภาการหนังสือพิมพ์ กับแนบสำเนาข้อกำหนดประธานศาลฎีกา พ.ศ.2548 ว่าด้วยการให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนใช้ตำแหน่งของตนเองเป็นหลักประกันไปด้วย ซึ่งปรากฏอยู่ในคู่มือการปฏิงานของนิติกรประชาสัมพันธ์ศาล เล่มสีส้ม (รายละเอียดปรากฎตามภาพถ่ายท้ายข่าว) เพราะสื่อมวลชนเป็นอาชีพที่มีเกียรติและมีความน่าเชื่อถือ จึงใช้ตำแหน่งเป็นหลักทรัพย์ประกันตนได้ ทั้งนี้ การปล่อยตัวชั่วคราวเป็นดุลยพินิจของผู้พิพากษาแต่ละคน

นายกสมาคมนักข่าวฯ และคณะ ยังได้หารือถึงกรณีที่ เจ้าพนักงานตำรวจนำหมายค้นของศาลอาญา ไปตรวจค้นอาคารสำนักงานของสื่อมวลชนแห่งหนึ่ง(ขอสงวนนาม) เพื่อค้นหาสิ่งของที่มีไว้เป็นความผิด หรือได้มาโดยการกระทำความผิด หรือได้ใช้ในการกระทำความผิด แต่ตรวจค้นแล้วไม่พบ ได้สร้างความวิตกและความไม่สบายใจของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อ เรื่องนี้ นายอธิคม กล่าว่วา อำนาจในการพิจารณาคำสั่งคำร้องการค้นสถานที่รโหฐานเป็นอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะตามกฎหมายพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นดุลยพินิจที่เป็นอิสระปราศจากการแทรกแซง เชื่อว่าผู้พิพากษาได้ไต่สวนผู้ร้องก่อนออกหมายค้น และหลังหมายค้นผู้ขอได้รางานผลการตรวจค้น ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญาโดยชอบแล้ว