คำกล่าวรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยนายมานิจ สุขสมจิตร ประธานมูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย

งานรวมใจคนสื่อน้อมเกล้าฯแสดงความอาลัย

พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙
วันอาทิตย์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๙

เวลา ๑๖.๐๐-๒๐.๐๐ น. ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

คำกล่าวรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ

โดยนายมานิจ สุขสมจิตร ประธานมูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย

 

“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นที่ยอมรับของคนทั้งโลก เป็นผู้ทรงคุณอันประเสริฐ และมีพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่เปรียบมิได้

 

ตลอดเวลา ๗๐ ปีที่ทรงครองสิริราชสมบัติ พระองค์ท่านได้ทรงงานอย่างหนัก ทุกเวลาทุกสถานที่ ทั้งยามปกติและยามทรงพระประชวร เกินกว่าที่สามัญชน คนธรรมดาจะพึงทำงานตามหน้าที่ของตน ๆ ผลจากการทรงงานนั้นก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศชาติเป็นเอนกอนันต์  ทั้งยังทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างไม่เฉพาะแก่ปวงชนชาวไทยเท่านั้น หากแต่รัฐบาลและประชาชนของประเทศเขตแว่นแคว้นอื่น ก็ยังเห็นและชื่นชมโสมนัสในพระราชดำริ พระบรมราโชวาท และพระราชปรัชญา ต่างได้จดจำนำน้อมเอาไปปฏิบัติ จนบังเกิดผล เป็นคุณูปการละลานตาไปทั่ว

 

สำหรับวงการสื่อสารมวลชนในประเทศไทยนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระเมตตาประดุจฝนที่หลั่งลงมาจากฟากฟ้ามิขาดสาย ทรงเข้าพระทัยในงานของสื่อมวลชนเป็นอย่างดี ที่ต่างต้องการให้ได้ภาพและข่าวไปเสนอแก่พสกนิกรของพระองค์ที่รออ่าน รอชมกันอยู่ โดยพระองค์ท่านมิได้ทรงถือโทษโกรธกริ้วแต่ประการใดเมื่อผู้สื่อข่าวหรือช่างภาพได้กระทำการอันมิบังควรต่อหน้าพระพักตร์

 

พระบรมราโชวาทแต่ละองค์ที่ได้พระราชทานแก่สื่อมวลชน ไม่ว่าต่างประเทศหรือในประเทศ นับเป็นสิ่งที่มีหิตานุหิตประโยชน์ ล้วนแล้วแต่มีข้อคิด มีแนวปฏิบัติที่ตั้งมั่นอยู่ในหลักจริยธรรมแห่งวิชาชีพอย่างมั่นคง โดยเฉพาะที่ทรงเน้นในประเด็นเรื่องการใช้เสรีภาพ ให้ใช้อย่างมีความรับผิดชอบสูงสุด ไม่ล่วงละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น   ให้เสนอข่าวตามความเป็นจริงไม่บิดผันฝันเฟื่อง รวมตลอดทั้งการให้งดเว้นการพูดการเขียนโดยไม่ยั้งคิด เพราะแม้จะเป็นการพูดการเขียนเพียงคำสองสามคำ ก็อาจเป็นการทำลายงานของผู้ปรารถนาดีที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบากลงไปได้

บริเวณที่พวกเรามาชุมนุมกันอยู่ในเวลานี้ เป็นที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พระองค์ท่านได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม เสด็จพระราชดำเนินถึงสองครั้งสองครา คือเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๑๒ เพื่อทรงวางศิลาฤกษ์อาคารที่ทำการสมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๑๔ ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เพื่อทรงประกอบพิธีอันเป็นมงคล ในการทรงเปิดป้ายอาคารที่สร้างเสร็จแล้ว

 

กล่าวได้ว่าบรรดาองค์กรวิชาชีพทั้งหลายที่มีสำนักงานอยู่ในอาคารหลังนี้ ต่างก็อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ก็เพราะพระบารมีและพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านปกเกล้าปกกระหม่อมแก่พวกเรานั่นเอง

 

นอกจากนี้ยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม  รับเอาสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ กับทั้งได้พระราชทานถ้วยรางวัลแก่สมาคมช่างภาพสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ในการประกวดรางวัลภาพข่าวสื่อมวลชนยอดเยี่ยมประจำปีเป็นประจำ ยังความภาคภูมิใจและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เสมอมา

 

พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีแก่วงการสื่อมวลชนในประเทศไทยที่ยิ่งใหญ่ อันจะงดเว้นการกล่าวถึงเสียมิได้ ก็คือการที่พระองค์ท่าน ทรงใช้พระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช๒๕๓๕ ในการทรงยับยั้งมิให้มีการประกาศใช้บังคับ ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช๒๕๓๕ ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ลงมติให้เป็นกฏหมายใช้บังคับได้ และรัฐบาลได้นำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว

 

ร่างกฏหมายฉบับดังกล่าว หากมีการประกาศใช้บังคับเป็นกฏหมาย ก็จะมีผลให้สื่อมวลชนที่ถูกพิพากษาลงโทษในคดีส่วนอาญาว่ากระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในทางแพ่งแก่ผู้ถูกละเมิดอีกโสดหนึ่ง เป็นจำนวนเงินขั้นต่ำถึงคดีละ ๔ ล้านบาท

 

ความในร่างกฏหมายฉบับนั้นไม่ได้ให้โอกาสศาลได้ใช้ดุลพินิจกำหนดค่าเสียหายตามความหนักเบาแห่งโทษานุโทษหลังจากฟังคำพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายเช่นที่กำหนดไว้ในกฏหมายวิธีสบัญญัติตามที่เคยปฏิบัติสืบต่อกันมา ตามหลักนิติธรรม หรือตามศุภนิติกระบวน โดยมิได้คำนึงถึงว่า ผู้กระทำผิดรายนั้นๆ ก็ได้รับโทษฑัณท์ทางอาญาซึ่งมีทั้งโทษจำคุกแลโทษปรับมาแล้วเท่าไรก็ตาม

ในทางกลับกัน หากทรงลงพระปรมาภิไธย และมีผลให้ใช้บังคับเป็นกฎหมาย ก็จะกลายเป็นอุปสรรค เป็นพันธนาการ เป็นเครื่องกีดขวาง หน่วงเหนี่ยว หรือยับยั้งสื่อมวลชน  ให้ไม่กล้าที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบสังคมและตรวจสอบรัฐบาลได้

 

การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงใช้พระราชอำนาจที่ไม่ค่อยทรงใช้ ยับยั้งกฏหมายตามพระราชอำนาจที่ถวายไว้ในรัฐธรรมนูญ ทำให้ร่างกฎหมายฉบับนั้นต้องตกไปในที่สุด

 

บัดนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้เสด็จสวรรคตแล้ว ยังความโศกเศร้าเสียใจและอาลัยอาวรณ์ยิ่งนักแก่ประชาชนคนไทยและนานาประเทศตั้งแต่วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นมา  นับเวลาได้เดือนหนึ่งแล้วความรู้สึกนั้นก็ยังไม่เสื่อมคลาย

 

ปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อม รำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่เปรียบมิได้นี้ตลอดไป ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหนพระองค์ท่านจะคงอยู่ในหัวใจของพวกเราตราบจนนิรันดร์

 

ข้าพระพุทธเจ้า  นายมานิจ สุขสมจิตร ประธานมูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทยในนามขององค์กรสื่อมวลชนทั้งหลายและบุคคลากรในวงการสื่อมวลชนไทยทุกสังกัด ขอแสดงความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐพระองค์นั้น

 

ขอให้พวกเรายืนสงบนิ่งแสดงความอาลัยเป็นเวลา ๘๙ วินาที”