7 คำถาม กฎหมายสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ

7 คำถาม กฎหมายสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ


ร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ....กำหนดให้มีการจัดตั้ง “สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ” ซึ่งมีเนื้อหาขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน และสื่อมวลชน ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ อีกทั้งมีผลกระทบต่อความเป็นอิสระในการทำงานของสื่อมวลชนทุกแขนง โดยสรุปจากคำถาม – คำตอบ 7 ข้อดังนี้

1.การมีขึ้นของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ จะมีผลกระทบโดยรวมต่อผู้ประกอบวิชาชีพอย่างไร ?

ผู้ประกอบวิชาชีพ จะต้องสังกัดสภาวิชาชีพใดวิชาชีพหนึ่ง เช่น สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย หรือสภาวิชาชีพอื่นๆที่จะจัดตั้งขึ้นในอนาคต ทั้งหมดนี้ต้องขึ้นทะเบียนต่อสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติภายใน1 ปี เท่ากับบังคับให้สื่อต้องเป็นสมาชิกสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติหรือสภาใหญ่นี้โดยปริยาย

2.คณะกรรมการสภาใหญ่เป็นใคร มาจากไหน?

มาจาก 3 ส่วนได้แก่ ผู้แทนสมาชิกสภาวิชาชีพเลือกกันเอง จำนวน 5 คน /ตัวแทนรัฐ 4 คนคือ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม  ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการอื่นอีกจำนวน 4 คน (เลือกโดยกรรมการ ๒ ประเภทแรก)  การมีข้าราชการในตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายข้าราชการประจำ ซึ่งปกติก็ขึ้นอยู่กับนักการเมืองผู้มีอำนาจ อยู่ถึง 4 คน จะเปิดช่องทางให้มีการแทรกแซงจากรัฐได้ และโดยปกติสภาวิชาชีพทั่วไป ก็จะมีกรรมการที่มาจากวิชาชีพนั้น ไม่ปรากฏว่ามีตัวแทนภาครัฐ

3.อำนาจคณะกรรมการ ลิดรอนเสรีภาพสื่อ?

อำนาจหน้าที่สำคัญของคณะกรรมการ มีหลายประการ แต่ที่เป็นประเด็นโต้แย้ง คือ อำนาจในการรับขึ้นทะเบียนและออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งเท่ากับการทำงานของสื่อมวลชนไม่จำแนกประเภท จะต้องมีใบอนุญาตและอาจถูกเพิกถอนใบอนุญาต หากเสนอข่าวไม่เป็นที่พึงพอใจของผู้มีอำนาจ สื่อมวลชนก็อาจเซ็นเซอร์ตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับผู้มีอำนาจ อำนาจเช่นนี้ ขัดแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ที่รับรองสิทธิ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของสื่อและประชาชน นอกจากนั้น หากสื่อกลัวเดือดร้อน หรือถูกกระทบจากผู้มีอำนาจออกใบอนุญาตก็จะเสนอข่าวที่ปลอดภัย หรือข่าวที่ไม่มีสาระ สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชนก็จะถูกกระทบไปด้วย

4.เงินที่ใช้ในกิจการของสภาใหญ่มาจากไหน?

กฎหมายกำหนดให้กระทรวงการคลัง จัดสรรเงินขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือไทยพีบีเอส ในส่วนที่จะต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน  ให้สภาวิชาชีพฯ ในอัตราร้อยละห้า ในกำหนดเวลาสามปีแรกที่จัดตั้งสภาใหญ่ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีอำนาจปรับเพิ่มรายได้ทุกสามปี เท่ากับ เป็นอำนาจของฝ่ายรัฐในการจัดสรรเงินที่ใช้ในกิจการสภาวิชาชีพฯ ซึ่งเป็นช่องทางหนึ่งที่รัฐจะเข้ามาแทรกแซงได้

5.การลดทอนความเชื่อถือในสภาวิชาชีพปัจจุบัน

ถึงแม้ว่าองค์กรสื่อ องค์กรวิชาชีพสื่อยังคงพิจารณาเรื่องร้องเรียนได้ตามปกติ แต่เมื่อผู้เสียหาย หรือผู้ถูกละเมิดใช้สิทธิทางศาล กฎหมายยังให้กระบวนการสอบสวนทางจริยธรรมของสภาวิชาชีพ ดำเนินต่อไป ซึ่งขัดแย้งกับวิธีการพิจารณาในสภาวิชาชีพที่เป็นอยู่ในขณะนี้  เพราะผลคำวินิจฉัยของศาลและสภาวิชาชีพที่อาจขัดแย้งหรือแตกต่างกัน อาจนำไปสู่ช่องทางการอุทธรณ์ต่อสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ สุดท้ายความเชื่อถือของสภาวิชาชีพจะลดลง เพราะเป็นสภาที่ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย

6.อำนาจในการลงโทษของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ

กฎหมายกำหนดให้สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ มีอำนาจลงโทษปรับผู้ละเมิดเป็นชั้นๆ เป็นโทษทางปกครองชั้นที่1 ปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท ชั้นที่ 2 ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท และสุดท้ายชั้นที่ 3 กรณีร้ายแรง ปรับไม่เกินหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท และเพิกถอนสมาชิกสภาพ

7.รัฐบาลกำกับ ดูแล การจัดตั้งสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติตั้งแต่ต้น

บทเฉพาะกาลกำหนดให้มีคณะทำงานเตรียมการจัดตั้งสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ประกอบด้วย ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะเป็นกรรมการโดยตำแหน่งในสภานี้ เป็นประธานคณะทำงาน นอกจากนั้น มีปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เลขาธิการ กสทช  และบุคคลอื่นๆ อีกรวมสิบสามคน เป็นคณะทำงาน ดำเนินการจัดตั้งให้เสร็จภายในสองปี ตัวแทนภาครัฐจึงมีบทบาทในการกำกับ ดูแลทิศทางของสภาใหญ่นี้แต่ต้น ซึ่งจะไปตอบรับแนวคิดแบบอำนาจนิยม ที่ต้องการจะคุมสื่อแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด